RSS

-'๑'- ความหมายของหนี้ในทางกฎหมาย

1.ความหมายของ หนี้ในกฎหมายเดิมของไทย
          ในกฎหมายเดิมของไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาใช้คำว่า หนี้”  หรือ นี่แต่หมายความไปในทางชายตัวยอมเป็นทาสเขาเอาเงินเขามาใช้ ในลักษณะสัญญาอื่นก็มีเฉพาะในสัญญากู้ยืมเท่านั้นที่เรียกว่า กูหนี้ถือสินท่าน ความผูกพันตามสัญญาอื่นนอกจากสัญญากู้ยืม ไม่ว่าจะเป็นผู้รับฝาก ผู้ยืม ผู้ขาย ผู้ซื้อ หาเรียกว่าเป็นลูกหนี้ไม่ คนเหล่านี้เป็นเพียงผู้ถือสินท่านเท่านั้น และความผูกพันตามสัญญาเหล่านี้ก็ไม่เรียกว่าหนี้[1]
           
          ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความหมายชองคำว่า หนี้ที่ใช้มาตั้งแต่เดิมของไทยนั้นมีความหมายแคบเฉพาะการขายตัวยอมตัวยอมตัวลงเป็นทาส และในสัญญากู้ยืมเท่านั้น จึงไม่ตรงกับความหมายชองคำว่าหนี้ ในทางกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน  แต่จะใกล้เคียงกับความหมายที่คนไทยทั่วไปเข้าใจกัน ดังที่ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กล่าวว่า แม้พ่อค้าชาวตลาดจนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังเข้าใจคำว่าหนี้เป็นเช่นเดียวกัน เหมือนกับเมื่อก่อนพม่าเผาเมืองนั้น[2]

2.ความหมายของ หนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
          หนี้ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้นมิได้เป็นแนวคิดในเรื่องหนี้ของไทยตามกฎหมายเดิม แต่เรานำแนวคิดและหลักกฎหมายเรื่องหนี้มาจากระบบกฎหมายซีวิลลอร์ ( civil law ) ของประเทศภาคพื้นยุโรป
         
           ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ปัจจุบันไม่ได้มีการบัญญัติความหมายของคำว่าหนี้ไว้  แต่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2466 ซึ่งถูกยกเลิกไปโดยไม่ทันได้ใช้นั้น ได้ให้คำจำกัดความของหนี้ไว้ว่า อันว่าหนี้นั้นโดยนิตินัยเป็นความเกี่ยวพันระหว่างบุคคลเดียว หรือ หลายคน ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าลูกหนี้ จำต้องส่งทรัพย์สินก็ดี หรือทำการ หรือเว้นทำการให้แกบุคคลเดียวหรือหลายคน  อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าเจ้าหนี้ความหมายดังกล่าวนี้  เมื่อเปรียบเทียบกับบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในปัจจุบันในผลแห่งหนี้มาตรา 194 ที่บัญญัติว่า
     “ ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้  เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ อนึ่งการชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้ “    บทบัญญัติดังกล่าวนี้มิได้กล่าวถึงหนี้ในทางความหมาย  แต่กล่าวถึงในทางที่จะบังคับตามความสัมพันธ์ทางหนี้นั้น  ซึ่ง ศาสตราจารย์ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ก็เห็นว่า บทบัญญัติในปัจจุบันก็มีความหมายที่ไม่แตกต่างจากบทบัญญัติที่อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2466 เดิมนั่นเอง  และการที่ไม่ให้ความหมายไว้ยังทำให้เกิดความยืดหยุ่นได้มากกว่า ซึ่งแท้จริงแล้วความหมายจะเป็นอย่างไร ก็ดูจะไม่สำคัญเท่ากับว่า เมื่อมีหนี้แล้วผลบังคับจะเป็นเช่นไรมากกว่า  อย่างไรก็ตามท่านยังเห็นต่อไปด้วยว่า การบัญญัติว่า ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้...นั้นไม่น่าจะถูกต้อง  ที่ถูกควรเป็น ด้วยอำนาจแห่งหนี้ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเพราะการที่เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้นั้นเป็นเพราะเป็น สิทธิทางหนี้ที่เกิดมีขึ้นเมื่อเกิดหนี้แล้ว  ส่วนมูลหนี้นั้นเป็นที่มาของหนี้เม่านั้น  การที่กฎหมายไม่ได้ให้ความหมายชองหนี้ไว้  แต่บัญญัติถึงผลเช่นนี้ ก็เป็นเพราะในทางปฏิบัตินั้นสำคัญอยู่ที่ผลที่จะบังคับระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้มากกว่าความหมายในกฎหมายของหลายประเทศ

3. ความหมายของหนี้ในความเห็นของนักนิติศาสตร์
  
นักนิติศาสตร์ได้ให้ความหมายหรอคำจำกัดความของหนี้ไว้  เช่น
1.     - Schuster กล่าวว่า หนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2 คน ซึ่งก่อให้เกิดสิทธิแกบุคคลหนึ่งที่จะเรียกร้องให้บุคคลอีกคนหนึ่ง กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ ซึ่งยอมรับว่าก่อให้เกิดผลทาง กฎหมาย
2. 
            -  Howe กล่าวว่า หนี้คือความผูกพันในกฎหมาย  ทำให้คู่สัญญาฝ่ายที่จะได้ประโยชน์ มีสิทธิขอให้บังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และในการนั้นย่อมร้องขออำนาจศาลของบ้านเมืองช่วยบังคับได้และสาระสำคัญของหนี้คือผลผูกพันให้เราต้องส่งทรัพย์สิน กระทำการหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง
3.   
            - ศาสตราจารย์ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมชกล่าว่า หนี้คือความผูกพันที่มีผลในกฎหมาย ซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า เจ้าหนี้ ชอบที่จะได้รับชำระหนี้ มีวัตถุเป็นการกระทำหรืองดเว้นการกระทำหรือส่งมอบทรัพย์สินจากบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ลูกหนี้
 โดยสรุป เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของกฎหมายประกอบกับความเห็นของนักนิติศาสตร์ดังกล่าวแล้ว อาจให้คำจำกัดความอย่างกว้างๆ ของคำว่า หนี้หมายถึง ความสัมพันธ์ในทางกฎหมาย หรือนิติสัมพันธ์ในทางทรัพย์สินระหว่างบุคคลสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า เจ้าหนี้ ทรงสิทธิที่ตะเรียนร้องให้อีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ลูกหนี้  ชำระหนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า 
หนี้นั้นมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ
1.     ต้องมีเจ้าหนี้และลูกหนี้
2.     ต้องมีความผูกพันทางกฎหมายที่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน
3.     ต้องมีวัตถุแห่งหนี้


______________________________________________
[1]โสภณ รัตนากร. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยหนี้. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์นิติบรรณการ, 2539) หน้า 20
[2]เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยนิติกรรมและหนี้. (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช,2526) หน้า 273  

-'๑'- ที่มาแห่งหนี้

         หนี้อาจมีที่มาได้หลายทาง  บางอย่างเป็นที่มาที่เป็นสิทธิทางหนี้โดนตรงบางอย่างก็เป็นที่มาแห่งหนี้ที่เป็นสิทธิเยียวยา โดยรวมอาจกล่าวได้ว่า หนี้อาจมีที่มาได้ดังนี้

1.     นิติกรรม เป็นที่มาสำคัญของหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิติกรรมที่มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาแลกเปลี่ยน สัญญาให้ สัญญาจ้าง สัญญาค้ำประกัน เป็นต้น แต่นิติกรรมบางอย่างเป็นนิติกรรมที่ก่อตั้งสถานะของบุคคลเช่น การหมั้น การสมรส การจดทะเบียนรับรองบุตร การรับบุตรบุญธรรม เหล่านี้มิก่อให้เกิดสิทธิทางหนี้โดยตรง

2.     นิติเหตุ เป็นที่มาอีกทางหนึ่งของหนี้ ได้แก่ ละเมิด จัดการงานนอกสั่ง และลาภมิควรได้ โดยความรับผิดในเรื่องละเมิดนั้นเป็นสิทธิเยียวยา ( Remedial Right ) โดยกฎหมายรับรองสิทธิในชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน และอื่นๆไว้ เมื่อมีการล่วงสิทธิเหล่านี้ก็ดีหรือเมื่อบกพร่องต่อหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นก็จะต้องมีการเยียวยาแก่ผู้เสียหายคือทำให้เกิดสิทธิเรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ส่วนการจัดการงานนอกสั่งและลาภมิควรได้นั้น เป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติไว้ให้มีสิทธิเรียกร้องเมื่อมีกรณีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

3.     เหตุอื่นๆ นอกจากนิติกรรมและนิติเหตุที่เป็นที่มาหลักของหนี้แล้วก็ยังมีกรณีอื่นที่มาใช้สิทธิเรียกร้องในลักษณะนี้อีก  เช่น การที่กฎหมายบัญญัติให้สิทธิที่เกี่ยวกับสถานะของบุคคลและเมื่อไม่ปฏิบัติตามนี้ก็อาจเรียกเป็นตัวเงิน เช่น ค่าอุปการะเลี้ยงดู ระหว่างบิดามารดากับบุตร ระหว่างสามีภรรยา เป็นต้น รวมทั้งการที่กฎหมายบัญญัติให้บุคคลต้องมีหน้าที่ต่างๆ ที่อาจบังคับทางหนี้  เช่น หน้าที่ชำระภาษีอากร เป็นต้น[1]

_____________________________________
[1]สุนทร มณีสวัสดิ์. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ : หนี้. พิมพ์ครั้งที่ 2. (กรุงเทพฯ: วิญญูชน,2533), หน้า 21.

-'๑'- วัตถุแห่งหนี้


วัตถุแห่งหนี้

         วัตถุแห่งหนี้นั้นเมื่อพิจารณาจากมาตรา 194 ที่บัญญัติว่าด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ อนึ่ง การชำระหนี้ ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้แสดงว่าวัตถุแห่งหนี้เป็นการงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็มีได้ และในมาตรา213 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “...ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นการให้กระทำการอันหนึ่งอันใด...และมาตรา 195 ก็บัญญัติถึงการส่งมอบ ดังนั้น เมื่อพิจารณาบทบัญญัติเหล่านี้แล้วอาจกล่าวได้ว่า วัตถุแห่งหนี้นั้นมี 3 อย่าง คือ    

          1.     หนี้กระทำการ เป็นหนี้ที่ลูกหนี้ต้องไปทำการงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างแก่เจ้าหนี้
          2.     หนี้งดเว้นกระทำการ วัตถุแห่งหนี้นั้นอาจกำหนดให้ลูกหนี้ไม่ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
          3.     หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน วัตถุแห่งหนี้เป็นการส่งมอบทรัพย์สิน หมายถึง หนี้ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินแก่เจ้าหนี้

         วัตถุแห่งหนี้ที่แบ่งออกเป็น 3 อย่างนี้ ถือกันมาตั้งแต่สมัยโรมัน และ ประมวลกฎหมายแพ่งของฝรั่งเศสก็ได้นำมาบัญญัติไว้ เป็น 3 อย่างเช่นกัน แต่บางท่าน ก็อาจเห็นว่า อาจถือว่ามีเพียง 2 อย่างเท่านั้น คือ หนี้กระทำการ กับหนี้งดเว้นกระทำการ โดยรวมหนี้ส่งมอบทรัพย์สินว่าเป็นการกระทำการอย่างหนึ่งด้วยก็ได้[1]

__________________________________

[1]โสภณ รัตนากร.คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์นิติบรรณการ, 2539) หน้า 52

-'๑'- การผิดนัดไม่ชำระหนี้

-           ลูกหนี้ผิดนัด
  มาตรา 204 มีหลักว่า ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระและเจ้าหนี้ได้เตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว
         ถ้าได้กำหนดชำระไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดโดยไม่ต้องเตือนและให้ใช้บังคับกับกรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ซึ่งคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่บอกกล่าว
    กรณีที่ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด อาจแบ่งได้เป็น 2 กรณี  คือ

1.       กรณีผิดนัดโดยเจ้าหนี้ต้องเตือน เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระตาม วรรคหนึ่ง
  โดยหลักแล้ว เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นเสียก่อน เช่นตกลงชำระหนี้เป็นค่าจ้างว่าความเมื่อคดีถึงที่สุด แม้ว่าหนี้ดังกล่าวนั้นจะได้ถึงกำหนดชำระเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม หากเจ้าหนี้ยังมิได้เตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ ลูกหนี้ยังมิได้ตดเป็นผู้ผิดนัด เว้นแต่ ถ้าหนี้นั้นได้กำหนดเวลาชำระหนี้หันไว้ตามวันแห่งปฏิทินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

2.       กรณีผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ต้องเตือน ตามวรรคสอง ถ้าหนี้นั้น
2.1 ได้กำหนดชำระหนี้ไว้ตามสันแห่งปฏิทิน  หรือ
2.2 เป็นกรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้ อาจคำนวณได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว[1]

-      เจ้าหนี้ผิดนัด
   
        เจ้าหนี้ก็อาจผิดนัดได้เพราะเมื่อลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยตรงแล้ว  เจ้าหนี้ก็มีหน้าที่ต้องรับชำระหนี้  และหากไม่รับชำระหนี้โดยไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะอ้างได้ เจ้าหนี้ก็ตกเป็นผู้ผิดนัด หรือในกรณีที่เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตอบแทนเมื่อลูกหนี้ชำระหนี้  แม้เจ้าหนี้พร้อมที่จะชำระหนี้แต่ไม่เสนอที่จะรับชำระหนี้ตอบแทน เจ้าหนี้ก็ผิดนัดได้เช่นเดียวกัน  ดังนั้น เหตุที่เจ้าหนี้ผิดนัดจึงจะแยกพิจารณาออกเป็น 2 กรณี คือ
1.     เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้

 มาตรา 207 มีหลักว่า ถ้าลูกหนี้ขอชำระหนี้และเจ้าหนี้ไม่รับโดยไม่มีเหตุที่อ้างกฎหมายได้  เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด
  เจ้าหนี้จะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรานี้  มีหลักเกณฑ์ดังนี้
-           ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้
-           เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้โดยไม่มีเหตุที่อ้างตามกฎหมายได้ กล่าวคือ เจ้าหนี้ไม่มีข้อแก้ตัวตามกฎหมาย

   อนึ่ง  การที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ดังกล่าวต้องเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ ซึ่งต้องเป็นไปตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้นั้น
2.     เจ้าหนี้ไม่เสนอที่จะชำระหนี้ตอบแทน

มาตรา 210 มีหลักว่า ถ้าลูกหนี้ต้องชำระหนี้ต่อเมื่อเจ้าหนี้ชำระตอบแทน แม้เจ้าหนี้เตรียมพร้อมที่จะรับชำระหนี้  แต่ไม่เสนอที่จะชำระหนี้ตอบแทน  เจ้าหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด  

-           มาตรานี้เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดในกรณีซึ่งเป็นหนี้ต่างตอบแทน  กล่าวคือ เจ้าหนี้และลูกหนี้ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตอบแทนซึ่งกันและกัน  หากเจ้าหนี้เตรียมพร้อมที่จะรับชำระหนี้ตามที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นแล้วแต่ไม่เสนอที่จะกระทำการชำระหนี้ของตนเองตอบแทนแก่ลูกหนี้  ดังนี้ เจ้าหนี้ก็ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด[2]

______________________________________ 
[1]วรวุฒิ เทพทอง.หนี้ : ตัวบทย่อ พร้อมความขยายและคำพิพากษาที่สำคัญ. พิมพ์ครั้งที่ 3. (กรุงเทพฯ : นิติธรรม, 2552) หน้า 20-21
[2]โสภณ รัตนากร.คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้. (กรุงเทพฯ : นิติบรรณการ, 2539) หน้า 52

-'๑'- การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย

การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย [มาตรา 217,218,219]

การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย (มาตรา 217,218,219) หมายความว่า การชำระหนี้ที่ไม่สามารถกระทำให้สำเร็จตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ ได้

1. การชำระหนี้พ้นวิสัยในระหว่างที่ลูกหนี้ผิดนัด มาตรา 217
        ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในความเสียหาย ที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อ หรืออุบัติเหตุ อันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนัด เว้นแต่ ความเสียหายนั้น ก็คงเกิดขึ้นแม้จะชำระหนี้ทันกำหนด

2. การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ (ลูกหนี้ยังไม่ผิดนัด) มาตรา218
        พฤติการณ์ที่ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ เช่นลูกหนี้หรือตัวแทนของลูกหนี้กระทำการโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

(1) กรณีเป็นพ้นวิสัยทั้งหมด ลูกหนี้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้

(2) กรณีพ้นวิสัยบางส่วน และส่วนที่เป็นพ้นวิสัยกลายเป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้

เจ้าหนี้มีสิทธิไม่ยอมรับชำระหนี้ส่วนที่เป็นพ้นวิสัย และเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ทั้งหมดทีเดียวได้

3. การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับ ผิดชอบ (ลูกหนี้ยังไม่ผิดนัด) มาตรา 219 

พฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ อาจเกิดขึ้นจากการกระทำของลูกหนี้แต่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ เช่นไม่ได้ประมาทเลินเล่อ หรือเกิดจากการกระทำของบุคคลภายนอกรวมทั้งการกระทำของเจ้าหนี้ หรือเกิดจากธรรมชาติก็ได้ 

ข้อ สังเกต ข้อตกลงที่กำหนดให้ลูกหนี้ต้องรับผิด แม้ว่าการชำระหนี้นั้นจะกลายเป็นวิสัยโดยพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิด ชอบ (ม. 219) เช่นนี้เป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับได้ ไม่ถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน [1]

กรณีที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในกรณี นี้ เทียบเคียงกับคำพิพากษาฎีกาที่ 1074/2546 “การที่โจทก์ส่งมอบข้าวเปลือก สีเป็นข้าวสารแล้วส่งคืนข้าวสารแก่โจทก์ โดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยเป็น ปลายข้าวและรำข้าวนั้น ถือว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง จำเลยมีหน้าที่ จะต้องนำข้าวเปลือกจำนวนที่ได้รับมอบแก่โจทก์ อันกำหนดไว้แน่นอนมาดำเนินการ สีเป็นข้าวสารส่งมอบให้แก่โจทก์ ต่อมาเกิดไฟไหม้โรงสีข้าวของจำเลย ซึ่งขณะ นั้นในโรงสีไม่มีข้าวเปลือกมีแต่ข้าวสาร แสดงว่าข้าวสารที่จำเลยจะต้องส่ง มอบแก่โจทก์นั้นเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งแล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบ ข้าวสารดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ เพราะเหตุไฟไหม้ที่ไม่ปรากฏว่าเกิดจากการ กระทำของผู้ใด จึงถือไม่ได้ว่าเหตุไฟไหม้นั้นเนื่องมาจากพฤติการณ์ที่จำเลย ต้องรับผิดชอบ การชำระหนี้ของจำเลยด้วยการส่งมอบข้าวสารแก่โจทก์ย่อมกลาย เป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 219 วรรคหนึ่ง[2]

____________________________________________________
[1]สกัดหลักกฎหมาย, [ออนไลน์], เข้าถึงได้จาก : http://www.lawsiam.com/?name=webboard&file=read&id=1114 , (วันที่ค้นหาข้อมูล: 7 สิงหาคม 2554)
[2]คลินิกทนายความ, [ออนไลน์], เข้าถึงได้จาก : http://www.fpmconsultant.com/htm/advocate_dtl.php?id=429 , (วันที่ค้นหาข้อมูล: 7 สิงหาคม 2554)

-'๑'- การระงับแห่งหนี้

การระงับแห่งหนี้[1]

1. การชำระหนี้
ปพพ. มาตรา 315
อันการชำระหนี้นั้น ต้องทำให้แก่ตัวเจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้ การชำระหนี้ให้แก่บุคคลผู้ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้นั้น ถ้าเจ้าหนี้ให้สัตยาบันก็นับว่าสมบูรณ์

2. ปลดหนี้
ปพพ. มาตรา 340
ถ้าเจ้าหนี้แสดงเจตนาต่อลูกหนี้ว่าจะปลดหนี้ให้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป
ถ้าหนี้มีหนังสือเป็นหลักฐาน การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย หรือต้องเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือขีดฆ่าเอกสารนั้นเสีย

3. หักกลบลบหนี้
ปพพ. มาตรา 341
ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้

4. การแปลงหนี้ใหม่
ปพพ. มาตรา 349
เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่

5. หนี้เกลื่อนกลืนกัน
ปพพ. มาตรา 353
ถ้าสิทธิและความรับผิดในหนี้รายใดตกอยู่แก่บุคคลคนเดียวกัน ท่านว่าหนี้รายนั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

__________________________

ขับเคลื่อนโดย Blogger.