RSS

-'๑'- ความหมายของหนี้ในทางกฎหมาย

1.ความหมายของ หนี้ในกฎหมายเดิมของไทย
          ในกฎหมายเดิมของไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาใช้คำว่า หนี้”  หรือ นี่แต่หมายความไปในทางชายตัวยอมเป็นทาสเขาเอาเงินเขามาใช้ ในลักษณะสัญญาอื่นก็มีเฉพาะในสัญญากู้ยืมเท่านั้นที่เรียกว่า กูหนี้ถือสินท่าน ความผูกพันตามสัญญาอื่นนอกจากสัญญากู้ยืม ไม่ว่าจะเป็นผู้รับฝาก ผู้ยืม ผู้ขาย ผู้ซื้อ หาเรียกว่าเป็นลูกหนี้ไม่ คนเหล่านี้เป็นเพียงผู้ถือสินท่านเท่านั้น และความผูกพันตามสัญญาเหล่านี้ก็ไม่เรียกว่าหนี้[1]
           
          ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความหมายชองคำว่า หนี้ที่ใช้มาตั้งแต่เดิมของไทยนั้นมีความหมายแคบเฉพาะการขายตัวยอมตัวยอมตัวลงเป็นทาส และในสัญญากู้ยืมเท่านั้น จึงไม่ตรงกับความหมายชองคำว่าหนี้ ในทางกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน  แต่จะใกล้เคียงกับความหมายที่คนไทยทั่วไปเข้าใจกัน ดังที่ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กล่าวว่า แม้พ่อค้าชาวตลาดจนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังเข้าใจคำว่าหนี้เป็นเช่นเดียวกัน เหมือนกับเมื่อก่อนพม่าเผาเมืองนั้น[2]

2.ความหมายของ หนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
          หนี้ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้นมิได้เป็นแนวคิดในเรื่องหนี้ของไทยตามกฎหมายเดิม แต่เรานำแนวคิดและหลักกฎหมายเรื่องหนี้มาจากระบบกฎหมายซีวิลลอร์ ( civil law ) ของประเทศภาคพื้นยุโรป
         
           ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ปัจจุบันไม่ได้มีการบัญญัติความหมายของคำว่าหนี้ไว้  แต่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2466 ซึ่งถูกยกเลิกไปโดยไม่ทันได้ใช้นั้น ได้ให้คำจำกัดความของหนี้ไว้ว่า อันว่าหนี้นั้นโดยนิตินัยเป็นความเกี่ยวพันระหว่างบุคคลเดียว หรือ หลายคน ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าลูกหนี้ จำต้องส่งทรัพย์สินก็ดี หรือทำการ หรือเว้นทำการให้แกบุคคลเดียวหรือหลายคน  อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าเจ้าหนี้ความหมายดังกล่าวนี้  เมื่อเปรียบเทียบกับบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในปัจจุบันในผลแห่งหนี้มาตรา 194 ที่บัญญัติว่า
     “ ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้  เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ อนึ่งการชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้ “    บทบัญญัติดังกล่าวนี้มิได้กล่าวถึงหนี้ในทางความหมาย  แต่กล่าวถึงในทางที่จะบังคับตามความสัมพันธ์ทางหนี้นั้น  ซึ่ง ศาสตราจารย์ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ก็เห็นว่า บทบัญญัติในปัจจุบันก็มีความหมายที่ไม่แตกต่างจากบทบัญญัติที่อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2466 เดิมนั่นเอง  และการที่ไม่ให้ความหมายไว้ยังทำให้เกิดความยืดหยุ่นได้มากกว่า ซึ่งแท้จริงแล้วความหมายจะเป็นอย่างไร ก็ดูจะไม่สำคัญเท่ากับว่า เมื่อมีหนี้แล้วผลบังคับจะเป็นเช่นไรมากกว่า  อย่างไรก็ตามท่านยังเห็นต่อไปด้วยว่า การบัญญัติว่า ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้...นั้นไม่น่าจะถูกต้อง  ที่ถูกควรเป็น ด้วยอำนาจแห่งหนี้ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเพราะการที่เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้นั้นเป็นเพราะเป็น สิทธิทางหนี้ที่เกิดมีขึ้นเมื่อเกิดหนี้แล้ว  ส่วนมูลหนี้นั้นเป็นที่มาของหนี้เม่านั้น  การที่กฎหมายไม่ได้ให้ความหมายชองหนี้ไว้  แต่บัญญัติถึงผลเช่นนี้ ก็เป็นเพราะในทางปฏิบัตินั้นสำคัญอยู่ที่ผลที่จะบังคับระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้มากกว่าความหมายในกฎหมายของหลายประเทศ

3. ความหมายของหนี้ในความเห็นของนักนิติศาสตร์
  
นักนิติศาสตร์ได้ให้ความหมายหรอคำจำกัดความของหนี้ไว้  เช่น
1.     - Schuster กล่าวว่า หนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2 คน ซึ่งก่อให้เกิดสิทธิแกบุคคลหนึ่งที่จะเรียกร้องให้บุคคลอีกคนหนึ่ง กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ ซึ่งยอมรับว่าก่อให้เกิดผลทาง กฎหมาย
2. 
            -  Howe กล่าวว่า หนี้คือความผูกพันในกฎหมาย  ทำให้คู่สัญญาฝ่ายที่จะได้ประโยชน์ มีสิทธิขอให้บังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และในการนั้นย่อมร้องขออำนาจศาลของบ้านเมืองช่วยบังคับได้และสาระสำคัญของหนี้คือผลผูกพันให้เราต้องส่งทรัพย์สิน กระทำการหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง
3.   
            - ศาสตราจารย์ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมชกล่าว่า หนี้คือความผูกพันที่มีผลในกฎหมาย ซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า เจ้าหนี้ ชอบที่จะได้รับชำระหนี้ มีวัตถุเป็นการกระทำหรืองดเว้นการกระทำหรือส่งมอบทรัพย์สินจากบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ลูกหนี้
 โดยสรุป เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของกฎหมายประกอบกับความเห็นของนักนิติศาสตร์ดังกล่าวแล้ว อาจให้คำจำกัดความอย่างกว้างๆ ของคำว่า หนี้หมายถึง ความสัมพันธ์ในทางกฎหมาย หรือนิติสัมพันธ์ในทางทรัพย์สินระหว่างบุคคลสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า เจ้าหนี้ ทรงสิทธิที่ตะเรียนร้องให้อีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ลูกหนี้  ชำระหนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า 
หนี้นั้นมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ
1.     ต้องมีเจ้าหนี้และลูกหนี้
2.     ต้องมีความผูกพันทางกฎหมายที่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน
3.     ต้องมีวัตถุแห่งหนี้


______________________________________________
[1]โสภณ รัตนากร. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยหนี้. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์นิติบรรณการ, 2539) หน้า 20
[2]เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยนิติกรรมและหนี้. (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช,2526) หน้า 273  

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.